วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

3 เหลี่ยมเบอร์มูดาร์


















นักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่า บริเวณใต้ทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น

อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะแหล่งของแกสมีเธนไฮเดรท (Methane hydrates)

ซึ่งในบางครั้งบางคราว แรงดันของแหล่งแกสเหล่านี้จะมีมากจนดันผ่านรอยแตกของเปลือกโลกขึ้นมา

มันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเบื้องบน ปริมาณของมีเธนไฮเดรทไม่ใช่น้อยๆเหมือนฟองอากาศนี่ครับ

อาณาบริเวณก็ไม่ใช่เล็กๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยหากปรากฏการณ์นี้จะจมเรือสักสิบลำที่อยู่ในบริเวณนั้นพร้อมๆกันได้ในพริบตา

เจ้ามีเธนไฮเดรทนี้ยังมีทีเด็ดอีกอย่างครับ

คือมันสามารถรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้

ทำให้วิทยุสื่อสารตลอดจนเรดาร์หมดประสิทธิภาพในการทำงาน

กลุ่มของควัน ความร้อนที่อบอวลอยู่รอบบริเวณ ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือตกใจ

นึกว่าตัวเองหลงเข้าไปในมิติสนธยา

เคยมีการจำลองปรากฏการณ์นี้ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของอเมริกามาแล้ว

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่พอใจกับคำตอบนี้

แต่มีข้อสังเกตอยู่นิดหนึ่งว่า

ทะเลในบริเวณอื่นที่มีแหล่งมีเธนไฮเดรทก็มีอยู่ถมถืด

บางที่อุดมสมบูรณ์กว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าด้วยซ้ำ แล้วทำไมสถิติการสูญหายจึงมีน้อยมากจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มี เมื่อมาเปรียบเทียบกับสามเหลี่ยมเจ้ากรรมแห่งนี้

อ๋อ.. คำตอบง่ายมากครับ นักวิทยาศาสตร์เจ้าของทฤษฎีเค้าตอบมา

ก็เพราะการสัญจรผ่านน่านน้ำสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามันหนาแน่นกว่าที่อื่นน่ะสิ

สถิติการสูญหายถึงได้เพียบกว่าที่อื่น

จะว่าอย่างนั้นมันก็ถูกอยู่ครับ เพราะบางที ธรรมชาติเองก็มีความพิสดารในตัวของมันอยู่

บางทีเบื้องหลังของความลึกลับดำมืด อาจมีคำตอบที่แสนง่ายไม่ซับซ้อนซ่อนอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้เค้ายึดทฤษฎีนี้แหละครับเป็นหลัก

ใน การตอบปัญหาของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ปมปริศนายังมีมากกว่าที่คิดแยะเลย ปรากฏการณ์ระเบิดของแกสมีเธนไฮเดรท ยังไม่สร้างความพึงพอใจนักสำหรับผู้สนใจบางคน

กล่าวกันว่าภยันตรายที่เกิดขึ้นในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น

ส่วนหนึ่งมาจากฝีมือของสิ่งบินลึกลับ ซึ่งเรารู้จักกันดีในนามของ UFOs ครับ

คนที่กล่าวเช่นนี้เค้าก็มีเหตุผลน่าสนใจอยู่ เพราะมีการอ้างสถิติมากมายเป็นกระบุงโกยว่า

ใน บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น นักเดินเรือ หรือ นักบิน มักพบเห็น UFOs ถี่และบ่อยเป็นพิเศษ บางกรณีมีสถานี้เรด้าชายฝั่งร่วมเป็นพยานอีกด้วย ว่านอกจากสัญญาณของเครื่องบินลำดังกล่าวแล้ว

เรด้าของสถานียังจับสัญญาณวัตถุลึกลับได้ ก็นับว่าหนักแน่นน่าฟังอยู่เหมือนกันครับ
ความเชื่อเกี่ยวกับ UFOs หรือจานบินนั้น นักวิชาการหลายคนต่างเห็นพ้องว่ามันมีอยู่จริง

นอก จากมีอยู่แล้วยังเคยลงมาที่โลกบ่อยๆอีกด้วยครับ แต่คนคัดค้านก็มากพอๆกัน ทั้งสองฝ่ายต่างหาหลักฐานมาโจมตีโต้ตอบกันตลอดเวลา ปะเหมาะเคราะห์ดีก็เหน็บแนมกันอย่างสนุกสนาน

ถึงกระนั้นก็ตาม รายงานการพบเห็น UFOs เหนือบริเวณน่านน้ำสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ก็มีอยู่มากมายนับพันๆราย แถมบางรายมีการบันทึกภาพเอาไว้ได้อย่างเป็นกิจลักษณะ แต่ก็นั่นแหละครับ

ท้ายที่สุด ข่าวที่ออกมาก็กลายเป็นว่า มองเห็นภาพลวงตา หรือไม่ก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอื่นๆเท่านั้นเอง

ก็อยากจะลงรายละเอียดให้มันมากกว่านี้อยู่หรอกครับ แต่ข่าวการพบเจอ UFOs ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นมีมากเหลือเกิน

















เรียกว่ามากกว่าพื้นที่อื่นใดในโลกเลยก็ว่าได้ UFOs ที่พบก็หลากรูปแบบเอามากๆ


มี ทั้งพบเห็นบนพื้นดิน บนท้องฟ้า เหนือผืนน้ำ บินจากท้องฟ้าสู่ใต้ทะเล หรือแม้แต่พุ่งจากใต้ทะเลขึ้นบนท้องฟ้า และเนื่องจากมีรายงานข่าวการพบ UFOs ในบริเวณนี้มากผิดปกตินั่นเอง

นักค้นคว้าส่วนใหญ่จึงพากันสรุปว่า สาเหตุที่เรือและเครื่องบินสาบสูญไปอย่างลึกลับนั้น ต้องมีสาเหตุส่วนหนึ่งจาก UFOs เป็นแม่นมั่น

สนใจ ก็หาหนังสือของ ชาร์ลส์ เบอร์ลิซ, ดร.อิวาน ที แซนเดอร์สัน, ดร.แมนสัน วาเลนไทน์มาอ่านกันได้เลยครับ รับรองรายละเอียดแยะจนคุณต้องจุก ส่วนใหญ่มีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว

เห็นจะต้องจบแล้วล่ะครับ สำหรับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าฉบับย่นย่อ(ย่อจริงๆ) อ้อ ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเหลืออีกนิดครับ คือ ทวีปแอตแลนติส ที่หลายคนตั้งสมมุติฐานว่า น่าจะอยู่ในบริเวณที่เป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าในปัจจุบัน ขอยกยอดไปเล่ากันในตอนหลังละกันนะครับ วันนี้ขอลาไปก่อน ได้รายละเอียดมากกว่านี้แล้วจะนำมาลง ขอบคุณครับ สำหรับท่านที่แวะเข้ามาชม

ที่มา : http://student.cs.kku.ac.th/46/g5/o11.html
วัน ที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 : เครื่องบินท้องระเบิดแบบ TBM ของกองทัพเรือสหรัฐจำนวน 5 เครื่อง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 14 นาย หายไปขณะฝึกบินทิ้งระเบิดเหนือดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ห่างจากฐานทัพฟอร์ท ล๊อดเดอร์เดล ประมาณ 225 ไมล์
http://www.pramool.com:5050/.8/r788293-57.jpg

วัน ที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 : เครื่องบินช่วยเหลือผู้ประสบภัย มาร์ตินน มารีน แบบ PBM พร้อมพลประจำเครื่อง 13 นาย ได้หายไปประมาณ 20 นาที หลังจากบินไปทำการช่วยเหลือเครื่องบินฝึกทิ้งระเบิดแบบ TBM จำนวน 5 เครื่องที่ขาดการติดต่อกับ หอบังคับการณ์และหายไปอย่างลึกลับ


วันที่ 3 กรกฏาคม ค.ศ. 1967 : เครื่องบินลำเลียงพลแบบ G-54 ของกองทัพบกสหรัฐหายไปห่างจากเบอร์มิวดา ขึ้นมาทางเหนือประมาณ 100 ไมล์


วัน ที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1948 : เครื่องบินโดยสารชื่อสตาร์ไทยเกอร์ เป็นเครื่องบินสี่เครื่องยนต์แบบทิวเดอร์-4 ของอังกฤษหายไปเหนือดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาพร้อมกับชีวิตของเจ้าหน้าที่ และผู้โดยสาร 31 คน


วันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1948 : เครื่องบินโดยสารชาร์เตอร์ ส่วนบุคคล แบบ DC-3 หายไประหว่างซานฮวนกับไมอามี่ พร้อมพนักงานประจะเครื่องและผู้โดยสาร 32 คน


วันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1949 : เครื่องบินโดยสาร สตาร์ แอเรียล ของอังกฤษ บินจากลอนดอนไปซานดิเอโก โดยผ่านทาง จาไมกา เครื่องบินได้หายไปในบริเวณสามเหลี่ยม เบอร์มิวดาในระหว่างเส้นทางไปยังคิงส์ตัน


วันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1950 : เครื่องบิน โกล๊ปมาสเตอร์ ของสหรัฐอเมริกา หายไปทางตอนเหนือของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ขณะมุ่งบินไปสู่ไอร์แลนด์

วัน ที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1950 : เครื่องบินโดยสารของบริษัทเดินอากาศยอร์คแห่งอังกฤษหายไปในบริเวณสามเหลี่ยม เบอร์มิวดา พร้อมผู้โดยสาร 33 คน


วันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1954 : เครื่องบินแบบ ซุปเปอร์คอนสเตลเลชั่น ของสหรัฐ หายไปพร้อมผู้โดยสาร 42 คน ในบริเวณเดียวกับจุดที่ฝูงบิน ที่ 19 สูญหายทั้ง 5 เครื่องมาก่อน


วัน ที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 : เครื่องบินลาดตระเวนของกองทัพเรือสหรัฐแบบ P5M หายไปใกล้ ๆ กับเบอร์มิวดา พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องอีก 10 นาย


วัน ที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1962 : เครื่องบินบันทุกน้ำมันสำหรับเติมน้ำมันกลางอากาศแบบ KB-50 ของสหรัฐ ได้หายไปอย่างลึกลับ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


วันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1963 : เครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐสี่เครื่องยนต์แบบ KC-135 จำนวนสองเครื่อง หายไปทางทิศตะวันตกห่างจาก สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาราว 300 ไมล์
http://www.pramool.com:5050/.8/r788293-56.jpg



วันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1965 : เครื่องบินโดยสารขนาดกลางแบบ C-119 หายไปใกล้ ๆ กับเบอร์มิวดา พร้อมด้วยผู้โดยสาร 10 คน


5 เมษายน ค.ศ. 1956 : เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบทันสมัย B-52 ของสหรัฐ ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นเครื่องบินบรรทุกสินค้า หายไปตรงจุดศูนย์กลาง ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา พร้อมทั้งชีวิตของชีวิตของนักบินทั้ง 3 นาย


วัน ที่ 11 มกราคม 1967 : เครื่องบินแบบ YC-122ซึ่งดัดแปลงเป็นเครื่องบินบรรทุกสินค้าหายไปพร้อมกับพนักงานประจำ เครื่อง 4 นาย ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ใกล้ ๆ กับาฮามัส


วัน ที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1963 : : เครื่องบินแบบ C-132 ซึ่งเป็นเครื่องบินบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ หายไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ตอนใดตอนหนึ่งระหว่างทางสู่ แอโซเรส



เหตุการณ์สำตัญต่าง ๆ ของเรือเดินสมุทรที่หายไปเหนือดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา




ใน ปี ค.ศ. 1840 : เรือสินค้าขนาดใหญ่ของฝรั่งเศษชื่อ โรซาลี่ ได้หายไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาระหว่างเดินทางจากยุโรปไปฮานาวา โดยไม่มีผู้ใดเหลือชีวิตรอดพอที่จะบอกเรื่องราวให้ฟังได้

ในปี ค.ศ. 1840 : เรือลาดตระเวณอังกฤษชื่อ แอ๊ตตาแลนตา หายไปอย่างลึกลับไม่ห่างจากเบอร์มิวดานักพร้อมทั้งทหารประจำเรือ 290 นาย


วัน ที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1902 : เรือเยรมันชื่อ เฟรย่า มีผู้พบทอดสมออยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อยู่บนเรือลำนั้น จากปฏิทินฉีกประจำวันในห้องกัปตันระบุเป็นวันที่ 4 ตุลาคม 1902


วันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1998 : : เรือบรรทุกอุปกรณ์และสินค้าชื่อ ไซคล๊อปส์ เป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ มีความยาว 500 ฟุต และระวางขับน้ำ 1900ตัน หายไปอย่างไร้ร่องรอยในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาพร้อมด้วยชีวิตลูกเรือและ ผู้โดยสาร


กลางเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1925 : เรือโคโทแพ็คซี หายไปในดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ในระหว่างเดินทางจากซาร์ลตันสู่ฮานาวา


ใน เดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1932 : เรือใบ 21 ลำชื่อ จอนและแมรี่ เป็นเรือที่ขึ้นทะเบียนในนิวยอร์คทั้งสองลำมีผู้พบลอยละล่องใกล้ ๆ กันอยู่ในบริเวณเบอร์มิวดาใบเรือทั้งสองลำถูกลดลงจากเสา
เรียบร้อยแล้ว


วัน ที่ 22 ตุลาคม ค.ศ.1944 : เรือยอร์จ ชื่อ กลอเรียโคไลท์ มีผู้พบถูกปล่อยให้ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางมหาสมุทรในบริเวณสามเหลี่ยม เบอร์มิวดา สิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างในเรืออยู่อย่างเป็นระเบียบ และของ
มีค่ายังอยู่ครบถ้วน


ใน เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1950 : เรือบรรทุกสินค้ายาวชื่อแซนดรา ได้หายไปบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแถวเปอร์โตริโกอย่างไม่มีร่องรอยใด ๆ พร้อมชีวิตลูกเรือทั้งหมดและสินค้าอีก 300 ตัน


ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1955 : เรือยอร์จชื่อ คันแนมาร่าที่ 4 ได้หายไปอย่างลึกลับประมาณ 400 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบอร์มิวดา


วัน ที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1963 : เรือเดินทะเลขนาดยักษ์ซึ่งมีความยาวถึง 425 ฟุต ชื่อมารีน ซัลเฟอร์ ควีน ได้หายไปอย่างไม่มีร่องรอยใด ๆ


วันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1963 : เรือจับปลาชื่อ โชบอยหายไปพร้อมด้วยลูกเรือ 4 คนโดยไม่มีหลักฐานใด ๆ เหลือให้เห็น


ใน ปี ค.ศ. 1942 : เรือโดยสารญี่ปุ่นชื่อ ไรฟูกุ มารู ได้วิทยุขอความช่วยเหลือขณะที่วิ่งอยู่ระหว่างคิวบาและบาฮามัส แต่แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ในปี ค.ศ. 1931 : เรือสินค้า สตาฟเวํงเยอร์ หายไประหว่างบาฮามัสและ แค็ต ไอร์แลน พร้อมด้วยชีวิตลูกเรือ 43 คน


ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1938 : เรือแองโกล-ออสเตรเลียน ได้หายไปทางใต้ของแอโซซเรส พร้อมด้วยชีวิตลูกเรือ 39 ชีวิต


ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1967 : เรือยอร์จขนาด 46 ฟุต ชื่อ เรโวน๊อค หายไปอย่างปราศจากร่องรอย


วันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1967 : เรือยอร์จ วิชคร๊าฟ หายไปอย่างปราศจากร่องรอยนอกฝั่งไมอามี พร้อมกับชีวิตเจ้าของเรือและผู้โดยสาร


ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1970 : เรือมิลตัน เอไทรด์ หายไปอย่างไร้ร่องรอยบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1973 : เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ระวางขับน้ำ 20000ตัน ได้หายไปพร้อมกับชีวิตลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

10 เหตุการณ์ ที่ทำให้เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง

เหตุการณ์ที่1 เครื่องบินสีทอง

Image
จากจำนวนวัตถุลึกลับเกี่ยวกับจานบิน ชิ้นนี้ดังที่สุด ซึ่งถูกพบในโคลัมเบีย อเมริกาใต้ มีอายุมากกว่า 1000 ปี มีลักษณะเหมือนเครื่องบินเจ็ทปีกเป็นรูปสามเหลี่ยมของยุคปัจจุบัน มีที่นั่งนักบินอยู่ตรงส่วนหัวและมีหางเหมือนเครื่องบินปัจจุบันด้วย ซึงแน่นอนชาวพื้นเมืองในโคลัมเบียคงไม่สามารถสร้างเครื่องบินนี้แน่ โดยเฉพาะเมื่อ 1000 ปีก่อน

อาจเป็นไปได้ว่ามนุษย์ต่างดาวได้เดินทางมาถึงอเมริกาใต้ ในยานอวกาศใต้ ในยานอวกาศที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องบินเจ็ทตั้งแต่เมื่อ 1000 ปีมาแล้ว และคงสร้างยานลำนี้ไว้เป็นที่ระลึก

เหตุการณ์ที่2 เด็กเขียว
Image

ในเดือนสิงหาคม 1887 ในสเปน มีเด็กสองคน ซึ่งมีผัวหนังสีเขียวเป็นมันวาว และมีดวงตารีเฉียง เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่ง เด็กสองคนนั้นสวมเสื้อผ้าที่ทำจากวัตถุประหลาด และพูดภาษาประหลาดที่ผู้วชาญภาษาจากบาร์เซโลนาไม่เข้าใจ และไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นภาษาอะไร เด็กชายที่เป็นผู้ชายตายก่อน ส่วนเด็กผู้หญิงยังอยู่ต่อมาและหัดพูดภาษาสเปนได้จนคล่องเธอเล่าว่าเธอถูกนำ มาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งมีแต่ยามสนธยามีพระอาทิตย์ขึ้น และถูกหอบมาทิ้งไว้ที่ถ้ำนั่น

ดินแดนที่ว่านั้น เป็นดินแดนของดาวอีกดวงหนึ่งใช่หรือไม่ หรือว่าพวกเธอถูกส่งตัวมายังโลกด้วย ยาวอวกาศหรือเปล่า หรืออาจมาจากมิติที่สี่ก็เป็นได้


Image
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1908 มีการระเบิดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นที่ไซบีเรีย เป็นแรงระเบิดที่รุนแรงกว่าฮิโรชิม่าถึง 10 เท่าดังไปค่อนโลก มีบางคนบอกว่า ตนเองได้เห็นแสงไฟและเห็นควันรูปเห็ด อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายสาเหตุการระเบิด ไม่มีใครทราบแน่ชัด

ในปี 1927 นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียต ได้ออกทำการสำรวจและพบบริเวณที่เกิดการระเบิดนั้น ซึ่งกินบริเวณกว้างขวางถึง 800 ตารางไมค์ จากการลงความเห็นของผู้วชาญ แรงระเบิดนั้น ไม่ใช้เพราะอุกาบาตรแน่ มีบางคนบอกว่ามันอาจเป็นดาวหาง อาจเป็นเสี่ยวหนึ่งของหลุมดำ หรืออาจเป็นแสงเลเซอร์จากดวงดาวอื่นก็ได้

อเล็กซานเดอร์ คาซานท์เซฟ วิศวกรด้านอาวุธของรัสเซียลงความเห็นว่า มันเป็นพวกยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งขณะบินทำการสำรวจโลก ตกลงมา และเกิดระเบิดขึ้น



เหตุการณ์ที่ 3 สัญญาณวิทยุจากมนุษย์ต่างดาว
Image
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 นักดาราศาสตร์โครงการ ซีคลอปส์ (Cyclops) ได้รับสัญญาณที่ซับซ้อนกว่าเสียงสะท้อนใดๆ ในโลกนี้ มันเป็นโทนเสียงขึ้นๆ ลงๆ ผสมผสานกันอย่างซับซ้อน พร้อมโครงสร้างจังหวะ รวมไปถึงเสียงที่ไม่เคยมีมนุษย์ได้ยินมาก่อนรวมอยู่ด้สน ซึ่งสัญญาณนี้ระบุว่ามาจากดาวออฟิยูซิ ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 17 ปีแสง ทำให้เชื่อกันว่าเป็นสัญญาณวิทยุจากมนุษย์ต่างดาวซึ่งมีอารยธรรมสูงกว่าเรา



เหตุการณ์ที่ 4 เมื่อมนุษย์ต่างดาวเป็นฆาตกร

Image
วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2491 รัฐเคนตักกี้ อเมริกา เรืออากาศเอก โธมัส แมนเทลล์ จูเนียร์ ได้ขับเครื่องบินซี 118 แถวน่านฟ้าของเมืองแมรีส์วิลล์ เพื่อไปตรวจสอบการพบเห็น UFO ส่องแสงขนาดใหญ่ และเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และเงียบเชียบข้ามท้องฟ้า ซึ่งทางฐานทัพก็จับสัญญามันได้เช่นกัน

แมนเทลล์ขับแล้วไปเจอ UFO ลำนั้นทันที เขารายงานวัตถุนั้นต่อศูนย์เป็นระยะในการติดตาม “พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์ มันอยู่เหนือผมพอดี และมันใหญ่โตมโหฬารมาก มันดูเหมือนโลกหะรูปกลมใหญ่มาก ผมกำลังพยายามไปให้ถึงมัน มันกำลังบินสูง มันเริ่มบินสูง.... พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์มาก! มันเริ่มร้อน มันร้อน ร้อนมากทีเดียว ผมทำไม่...”จากนั้นสัญญาณก็ถูกตัด

เวลาต่อมา มีการพบซากเครื่องบนและศพของเรืออากาศเอกแมนเทลล์ มีรายงานว่าซากเครื่องบินมีรูและรอยขีดข่วงจากความร้อนสูง เหมือนกับว่าเครื่องบินถูกทำลายจากรังสีบางอย่าง

ปัจจุบันการตายของแมนเทลล์ยังเป็นปริศนาต่อไป ว่าสิ่งที่เขาพบนั้นคือ UFO จริงหรือไม่?



เหตุการณ์ที่ 5 แอเรีย 51 (Area 51)
Image
พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในกลางทะเลทรายทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เนวาด้า และอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ปี 1958 เป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุดเพราะเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้คนนอกเข้าและมีการ รักษาความปลอดภัยสูงสุด แม้ทางการสหรัฐจะบอกว่าพื้นที่นี้เป็นเพียงสถานที่ทดสอบอาวุธหรือเครื่องบิน รบใหม่ของสหรัฐ แต่มีหลายคนบอกว่าอาจเป็นฐานทัพของมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ก็สถานที่ติดต่อกับ มนุษย์ต่างดาว นั่นก็อาจจะเป็นเพราะมีคนจำนวนมาก อ้างว่าได้เห็นวัตถุบินลึกลับหรือ UFO (Unidentified Flying Object) บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้ง จนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 นั้นต้องมีอะไรมากกว่าสถานที่ซ้อมรบเครื่องบินรบ แน่นอน

เหตุการณ์ที่ 6 จานบินตกที่รอสเวลล์

Image
ในปี ค.ศ.1948 เมืองรอสเวลล์ เกิดเหตุการณ์วัตถุบินลึกลับตกในพื้นที่ทะเลทรายของชาวเมืองนาม แม็ค บราเซิล วัตถุชิ้นตกตกและชิ้นส่วนตกกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการก็มาถึงและเก็บวัตถุในพื้นที่ที่เกิด เหตุจนหมด ซึ่งผลจากการตรวจสอบตอนแรกบอกว่าวัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นวัตถุที่ไม่เคยมี อยู่ในโลก และแต่ละชิ้นโลหะมีคุณสมบัติแปลกประหลาด แต่ถึงอย่างไรเพราะอะไรไม่ทราบสาเหตุภายหลังทางการดันกลับคำให้การบอกว่า วัตถุที่ตกลงมาเมืองรอสเวลล์นั้นคือหรือบอลลูนตรวจสภาพอากาศ?

ทำไมต้องกลับคำผลการตรวจสอบ?? แล้ววัตถุบินลึกลับนั้นเป็นจานบินหรือไม่? ไม่มีใครทราบได้ แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้วก็ตามแต่หลายๆ ฝ่ายยังหวังว่าทางการสหรัฐจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้



เหตุการณ์ที่ 7 การลักพาตัวเบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ (betty and Barney Hill)

Image
นี้คือการลักพาตัวที่โด่งดังที่สุดและเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวคนในโลก

19 กันยายน 1961 ขณะที่เบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรัฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆ ก็มีจานบินแล่นขวางหน้า และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ

สิ่งมีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน(ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือนสะกดจิต ทั้งคู่ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูดด้วยภาษาแปลกประหลาด

จากนั้นสองสามีก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จนเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก จนต้องออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975



เหตุการณ์ที่ 8 การชำแหละวัวในท้องทุ่ง (Cattle Mutilations)


9 มิถุนายน 2005 ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดวัวตายอย่างลึกลับจำนวนมากในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและบราซิลและแถบอื่นๆ ทั่วโลก

โดยการตายลึกลับนี้แทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะสามารถทำได้ เพราะแต่ละพื้นที่วัวถูกฆ่าจำนวนมากโดยทั้งหมดนั้นลงมือเสร็จเพียงคืนเดียว โดย ส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ ด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้แต่ไม่ใช้เลเซอร์หรือมีด และไม่มีเลือดไหลออกมาอวัยวะบางส่วนเช่น อวัยวะเพศ ลูกตาและเต้านมโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัวหรือแม้กระทั่งรอยเท้าใน บริเวณที่มันตาย

มีการศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร

เหตุการณ์ที่ 9 วงกลมประหลาดบนทุ่งหญ้า (Crop Circles)
Image
ในช่วงปี 1980 เกิดเหตุการณ์ประหลาดคือประจักษ์ต่อชาวโลก ใน 29 ประเทศ ทั่วโลก คือเกิดวงกลมประหลาด หรือสัญลักษณ์ประหลาดที่ทุ่งข้าวสาลี ข้าวบาเล่ห์ ข้าว และอื่นๆ

โดยจากรายงานการเกิด Crop Circles กว่า 10,000 ครั้ง

พบว่าในช่วงปลายปี 1980 นั้น Crop Circles ส่วนใหญ่รูปแบบจะออกมาในลักษณะเส้นตรงซึ่งจะออกมาคล้ายๆกับสัญลักษณ์ แต่ภายหลังจากปี 1990 รูปแบบของ Crop Circles จะซับซ้อนมาก จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะทำได้ นอกเสียจากจะเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วหาเป็นมนุษย์ต่างดาวจริง พวกเขาจะทำทำไม มันเป็นสัญญาบอกชาวโลกหรือ หรือว่าเป็นที่จอดยานบิน หรือว่าเป็นการเล่นสนุก??

เหตุการณ์ที่ 10 เทปวีดีโอผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว
Image
ในปี 1992 ผู้สร้างภาพยนต์เรย์ ซานติลี อ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนต์ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 91 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) เป็นฟิล์มภาพยนต์ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาวหลังเหตุการณ์การตก ที่รอสเวลส์โดยซื้อมาจากช่างภาพของกองทัพ(ไม่เปิดเผยชื่อ)ที่ถูกมอบหมายให้ ทำการถ่ายภาพยนต์การผ่าศพมนุษย์ต่างดาวที่ Fort Worth, Texas เพื่อทำการถ่ายภาพยนต์

จนกระทั่งในปี 1995 ภาพยนต์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง และเครือข่ายทีวีของ FOX นำภาพยนต์ชุด นี้ออกอากาศในรายการ One-hour special ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจาก นั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปใน อังกฤษ , เยอรมัน , ฮอลล์แลนด์ , บราซิล และอิตาลี

สมองของคนติดเกมส์ VS สมองของคนติดยา









เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยทางการแพทย์ของเกาหลีใต้ ได้ทำการเปรียบเทียบภาพเอ็กซเรย์สมองของคนติดยาเสพติดกับคนที่ติดเกมออนไลน์ และผลที่ได้ก็คือ…ได้รับผลกระทบแทบจะเหมือนกันทุกประการ….ข้อมูลนี้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่หนุ่มๆ สาวๆ ผู้ติดเกมออนไลน์เป็นอย่างมาก… ทีมวิจัยของประเทศเกาหลีได้นำเครื่องตรวจจับการกระจายและปริมาณความผิดปกติของสารเภสัชรังสีโพสิตรอน หรือที่เรียกว่า PET Scans มาใช้ตรวจสอบกลไกการทำงานของสมอง ทำให้พบว่าสมองของคนที่ติดเกมนั้นจะได้รับผลกระทบในส่วน orbitofrontal cortex ที่ทำหน้าที่ช่วยในการแสดงออกของพฤติกรรมและอารมณ์ และในส่วน caudate nucleus ที่ทำหน้าที่ควบคุมความตึงตัวของกล้ามเนื้อและประสานการเคลือนไหว มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสมองของคนที่ไม่ได้เล่นเกมเป็นกิจวัตรและเมื่อนำสมองของคนที่ติดเกมออนไลน์ (รูปบนด้านขวา) ไปเทียบกับสมองของคนที่มีอาการติดยาเสพติดประเภท โคเคน (รูปบนด้านซ้าย) ผลการทดลองกลับออกมาแทบจะเหมือนกันทุกประการ..ซึ่งนักวิจัยก็ได้ออกมากล่าวว่า พวกเขาคาดหวังว่าผลการทดลองนี้จะช่วยให้บรรดาผู้ที่ติดเกมทั้งหลายหันมาสนใจสภาพร่างกายของตัวเองให้มากขึ้นที่มา anibatan

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตะลึง!ในอนาคต มนุษย์สามารถมีอะไรกับหุ่นยนต์ได้(ความรู้นะพี่)

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองกลประดิษฐ์ หรือรู้จักกันสั้นๆ ว่า AI นั้นได้อ้างว่า อนาคตที่จะถึงนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์จะใกล้ชิดกันโด ยแยกไม่ออก ถึงขั้นที่มนุษย์กับหุ่นยนต์สามารถมีเซ็กซ์กันได้เลย ทีเดียวเดวิด เลวี่ย์ กล่าวว่า ในอนาคตนี้ เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด จะสามารถพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์ได้มากที่สุด จนเราแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า หุ่นยนต์กับมนุษย์นั้นแตกต่างกันอย่างไรโดยในหนังสือของ เดวิด เลวี่ย์ ที่ชื่อว่า Sex With Robots: The Evolution of Human-Robot เซ็กซ์กับหุ่นยนต์: วิวัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ ซึ่งได้เขียนเอาไว้ว่า “เซ็กซ์ที่สุดยอดล้วนแต่เป็นยอดปรารถนาของทุกคน”เลวี่ย์ ได้อ้างว่า มีคนจำนวนมากจะได้ประโยชน์ไม่น้อยกับการที่คนเราสามา รถมีเซ็กซ์กับหุ่นยนต์ ไม่ว่าจะเป็นคนที่หน้าตาไม่หล่อ ไม่สวย หรือ คนที่อยู่ตัวคนเดียว ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ค่อนลำบากเหลือเกินในการที่จะหาอา รมณ์หวานฉ่ำกับมนุษย์ด้วยกันเดวิด เลวี่ย์ กล่าวว่า “พวกเขานั้นอยู่อย่างเดียวดายและน่าสงสารเหลือเกิน ผมคิดว่าสังคมจะน่าอยู่มากขึ้น เมื่อพวกเขาเหล่านั้นสามารถสำเร็จความพึงพอใจให้กับตัวเองได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำร้ายหรือสร้างความเดือดร้อนให้ กับคนอื่น”“ซึ่งถ้าหากวันหนึ่งเราสามารถมีหุ่นยนต์ตามที่ผมได้อ ธิบายไว้ในหนังสือของผม ผมเองก็ปรารถนาเหลือเกินว่าจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกั บพวกมันได้ โดยที่ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่เสียหายแต่อย่างใด เลยแม้แต่น้อย”“และผมจะมีเซ็กซ์กับหุ่นยนต์ได้โดยไม่รู้สึกผิดแผก ซึ่งเมื่อผมมีสิ่งเหล่านี้แล้วผมก็ไม่มีความจำเป็นอั นใดในการที่จะมองหาคู่นอนคนใหม่ มันก็จะทำให้ชีวิตการแต่งงานของผมมีความสุขเกินบรรยา ยจริงๆ”



ที่มา : http://www.siamdara.com/

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อภิมหากาพย์ไซไฟ-แอนิเมชั่น เรืองแสง เรื่องแรกของโลก!





Avatar อภิมหากาพย์ไซไฟ-แอนิเมชั่น เรืองแสง เรื่องแรกของโลก!
หลังประสบความสำเร็จสูงสุดกับ Titanic เมื่อ 12 ปีก่อน ผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน ก็ไม่มีผลงานสู่สายตาแฟนๆ อีกเลย (ไม่นับหนังสารคดี 3 มิติที่คาเมรอนกำกับ) จนคอหนังทั่วโลกอดบ่นไม่ได้ว่า เมื่อไหร่จะได้ดูหนังเรื่องใหม่ของเจมส์ คาเมรอน เสียที และบัดนี้ การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลง กับอภิมหาโปรเจ็กต์ที่ว่ากันว่า จะเป็นการพลิกโฉมหน้าวงการภาพยนตร์อีกครั้ง เจมส์ คาเมรอน กลับมาแล้วพร้อมกับหนังเรื่องล่าสุดที่มีชื่อว่า Avatar (อวตาร) ผลงานซึ่งเขาใช้เวลาสร้างนานกว่า 4 ปี ด้วยทุนสร้างมหาศาลกว่า $237 ล้าน และถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นหนังของเจมส์ คาเมรอน แล้วล่ะก็ รับประกันได้เลยว่า จะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ความจริงแล้วโปรเจ็กต์นี้ผุดขึ้นในหัวของคาเมรอนตั้งแต่เมื่อ 14 ปีก่อน แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านเทคนิคในตอนนั้น เขาจึงไม่สามารถถ่ายทอดภาพความคิดที่ว่าออกมาได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ลงมือคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการถ่ายภาพด้วยตัวเอง คาเมรอนก็สามารถสร้าง Avatar ให้กลายเป็นหนังแอนิเมชั่นเรืองแสง (ที่มีคนร่วมแสดงด้วย) เรื่องแรกของโลกได้สำเร็จ
โดยอภิมหาภาพยนตร์ไซไฟ เหนือจินตนาการ เรื่องนี้ จะนำผู้ชมไปสู่โลกใบใหม่ที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน รวมถึงบันดาลมิติใหม่ให้แก่โลกภาพยนตร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเทคนิคที่เจมส์ คาเมรอน ทุ่มเทคิดค้นขึ้น ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งยิ่งใหญ่แห่งวงการเลยทีเดียว เพราะเขาสามารถเนรมิตให้ผู้ชมรู้สึกประหนึ่งว่าได้เข้าไปเป็นตัวละครและได้ร่วมผจญภัยในโลกของ Avatar ที่มีดาวอันไกลโพ้นชื่อ แพนดอร่า เป็นฉากหลัง โดยทุกสรรพสิ่งในดวงดาวแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร เต็มไปด้วยป่าที่มีต้นไม้สูง เขียวชอุ่ม และเรืองแสงได้ นอกจากนั้น ยังมีสัตว์นักล่าที่อันตรายมากมาย และชนพื้นเมืองที่เรียกว่าชาวเนวี มนุษย์ร่างสีน้ำเงินตัวสูงใหญ่ ผู้รักสงบ ซึ่งเรื่องราวของหนังจะเล่าถึงสงครามระหว่างชาวเนวี และกองทัพของมนุษย์โลกที่รุกรานดินแดนของพวกเขาเสียงชื่นชมหลังจากชม ตัวอย่างหนังยาว 15 นาที และเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งคาเมรอน ประกาศว่าเป็นวัน “Avatar Day” มีการนำหนังตัวอย่างยาว 15 นาทีมาฉายให้ชมฟรีตามโรงหนัง IMAX และ 3D ทั่วโลกกว่า 58 ประเทศ (ซึ่งมีกรุงศรี IMAX สยามพารากอน เป็นหนึ่งในนั้นด้วย) ปรากฏว่ามีเสียงชื่นชมกลับมาอย่างล้นหลาม ถึงความยิ่งใหญ่ ตระการตรา อลังการงานสร้าง โดยเฉพาะในส่วนของภาพที่ทำได้เนียนและงดงามระดับสุดยอดประสบการณ์เหนือระดับ กับ IMAX : 3D หลายๆ เสียงถึงขนาดบอกว่า นี่คือประสบการณ์ใหม่ที่แสนวิเศษซึ่งไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อน แถมยังเชื่อมั่นด้วยว่า Avatar จะสามารถดึงดูดให้ผู้คนกลับมาดูหนังในโรงภาพยนตร์มากเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากใครที่ต้องการดู Avatar แบบเก็บรายละเอียดทุกเม็ด ได้อรรถรสแบบเต็มๆ ล่ะก็ ขอแนะนำว่า ควรจะดู Avatar ในโรง IMAX ลองนึกดูซิว่า มันจะวิจิตรขนาดไหน ถ้าเกิดได้ยลโฉมมหากาพย์แอนิเมชั่นเรืองแสงเรื่องนี้ แบบ สามมิติ ทะลุจอยักษ์เท่าตึกแปดชั้น!
หลายๆ ฉากที่ได้เห็นในตัวอย่างหนัง 15 นาที ซึ่งฉายที่ กรุงศรี IMAX สยามพารากอน แสดงให้เห็นถึงเทคนิคการถ่ายภาพ และซีจี ระดับสุดยอด ที่ไม่เคยปรากฏในหนังเรื่องใดมาก่อน ไล่ไปตั้งแต่ ฉากร่างอวตารของ เจค ตัวเอก ที่ตื่นขึ้นมาในห้องทดลอง ซึ่งดูสมจริงทั้งในส่วนของการเคลื่อนไหว ไปจนถึงส่วนของผิวหนัง ที่ดูเนียนแบบเหลือเชื่อ รวมไปถึง สีหน้า และแววตา เวลาแสดงอารมณ์ของชาว เนวี ที่ดูแล้วนึกว่าเอาคนจริงๆ มาแต่งหน้า มากกว่าการใช้ซีจี
ทีเด็ดคงต้องยกให้ฉากที่โชว์ ความอลังการ ของดินแดนบนดาว แพนดอร่า ที่บอกได้คำเดียวว่าอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด โดยเฉพาะฉากดินแดนแพนดอร่ายามค่ำคืน ที่หมู่แมกไม้เรืองแสงนานาพันธุ์ ลอยทะลุจอออกมาอยู่ตรงหน้าเรา พูดได้คำเดียวว่า วิจิตร สุดๆ ไล่ไปจนถึงเหล่าสัตว์ประหลาดบนดาวแพนดอร่าก็ช่างยิ่งใหญ่ แปลกตา ซึ่งรับประกันว่า คุณไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ที่ไหนมาก่อนแน่นอน
รอพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของ Avatar ด้วยสายตาตัวเองได้ ในวันที่ 17 ธันวาคม 2552 โดยจะฉายทั้งในระบบฟิล์ม 35มม., ระบบดิจิตอล 2 มิติ, ระบบดิจิตอล 3 มิติ และ IMAX 3D ที่โรงภาพยนตร์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, พารากอน ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี และเอสพละนาด ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศถึง 46 สาขา